สถิติ
เปิดเมื่อ10/02/2015
อัพเดท10/03/2015
ผู้เข้าชม45541
แสดงหน้า53894
ปฎิทิน
May 2024
Sun Mon Tue Wed Thu Fri Sat
   
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 




บทความ

หลักการโฆษณา (Advertising) การวัดและประเมินผลการโฆษณา และการประยุกต์ใช้การโฆษณา กับการท่องเที่ยว

บทที่ 4
หลักการโฆษณา (Advertising) การวัดและประเมินผลการโฆษณา และการประยุกต์ใช้การโฆษณา กับการท่องเที่ยว

4.1-แนวคิดเกี่ยวกับการโฆษณา
4.1.1 ความสำคัญและความหมายของการโฆษณา
การโฆษณาเป็นเครื่องมือสื่อสารที่มีบทบาทเป็นอย่างมากต่อการดำเนินงานธุรกิจ ทั้งนี้เนื่องจากการโฆษณาทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยจำหน่ายสินค้าและบริการ โดยการสื่อสารตราสินค้าผ่านสื่อต่างๆ ไปยัง ผู้บริโภคเช่น โทรทัศน์ วิทยุ แผ่นพับ ใบปลิว นิตยสาร หนังสือพิมพ์ สื่ออิเลคทรอนิกส์ ป้ายโฆษณา เป็นต้น ทำให้สินค้าเป็นที่รู้จักและทดลองใช้สินค้าและบริการ เสรี วงษ์มณฑา (2540 : 5) ได้ให้ความสำคัญในการโฆษณาสินค้าว่าสามารถทำให้สินค้าจำหน่ายได้มากขึ้นทั้งนี้เพราะเชื่อในแนวคิดของ การสื่อสารคือที่มาแห่งอำนาจ (Communication is power) และการนำเสนอให้เป็นที่รู้จักจะเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ (Visibility is a key to success) ในขณะที่ วิไลลักษณ์ ซ่อนกลิ่น และศิริชัยสุวรรณประภา (2550 : 5) ได้กล่าวถึงความสำคัญของการโฆษณาไว้ 4 ประการได้แก่
1. การโฆษณาเป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสาร การแจ้งข้อมูล ข่าวสารเกี่ยวกับสินค้า คุณสมบัติของสินค้า ประโยชน์ของสินค้าที่ผู้บริโภคจะได้รับ ซึ่งมีความแตกต่างไปจากสินค้าของคู่แข่งขัน และเพื่อให้ผู้บริโภคได้รู้จักเกิดความสนใจ อยากได้เป็นเจ้าของและตัดสินใจซื้อในที่สุด
2. การโฆษณาช่วยในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากการโฆษณามีส่วนช่วยให้สินค้าเข้าสู่ตลาดอย่างกว้างขวาง ทำให้มีการขายมากขึ้น ความต้องการด้านวัตถุดิบ แรงงาน วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ มีมากตามไปด้วย ส่งผลให้มีการจ้างงาน รายได้มีมากขึ้น โรงงานขยายตัวมากขึ้น รับสมัครพนักงานเพิ่มมากขึ้น
3. การโฆษณาช่วยยกระดับมาตรฐานการครองชีพของคนในสังคม โดยเฉพาะการช่วยกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ขึ้นมา เกิดเป็นสินค้ารูปแบบใหม่ๆ สู่ผู้บริโภค ประชาชนมีรายได้มากขึ้น ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น
4. การโฆษณาทำให้เกิดการแข่งขันระหว่างธุรกิจต่างๆ โดยเฉพาะด้านความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เกิดเป็นนวัตกรรมใหม่สู่ตลาด มีการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ เกิดการแข่งขันในธุรกิจ เกิดผลดีต่อการพัฒนาประเทศ
อย่างไรก็ตาม การโฆษณาเป็นกระบวนการ (process) ซึ่งมีหลายขั้นตอน ต้องใช้ภาษาในการแต่งเรื่องประกอบ ใช้เทคนิคและแสงสีอย่างประณีตสวยงานจึงจะได้งานที่ดีออกมา
กัลป์ยกร วรกุลลัฎฐานีย์ และพรทิพย์ สัมปัตตะวนิช (2551 : 2) ได้ให้ความหมายของการโฆษณาคือ การสื่อสารเพื่อการโน้มน้าวใจ เกี่ยวกับสินค้า / บริการ / ความคิด ที่มีค่าใช้จ่ายผ่านสื่อมวลชน (mass media) ไปยังกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ โดยระบุผู้โฆษณาชัดเจน
สมาคมการตลาดแห่งสหรัฐอเมริกาอ้างใน วิรัช ลภิรัตนกุล (2544 : 347) ได้ให้ความหมายของการโฆษณาคือ รูปแบบของการเสนอใดๆ ซึ่งต้องชำระเงิน และมิได้เป็นไปในรูปส่วนตัว การเสนอนี้เป็นการส่งเสริม เผยแพร่ความคิดเห็นสินค้าหรือบริการต่างๆ โดยผู้อุปถัมภ์ที่ระบุไว้ ซึ่งจากคำจำกัดความดังกล่าวอาจจะพิจารณาดังนี้
1. ต้องชำระเงิน (paid form) หมายความว่า โฆษณาต้องมีการชำระเงินหรือจ่ายเงินเป็นค่าตอบแทนในการที่สินค่าหรือบริการได้รับการโฆษณาในสื่อต่างๆ เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วิทยุกระจายเสียง โทรทัศน์ เป็นต้น ทำให้สามารถแยกแยะการโฆษณาออกจากการเผยแพร่ เพราะการโฆษณานั้นผู้ต้องการโฆษณาจะต้องจ่ายเงินเพื่อการโฆษณานั้นๆ
2. การเสนอที่มิได้เป็นไปในรูปส่วนตัว (nonpersonnel presentation) การโฆษณาเป็นการใช้แทนการขายโดยพนักงาน ไม่ได้เป็นการขายโดยพนักงาน ดังนั้นการโฆษณาจึงเป็นการใช้เครื่องมือสื่อสารในรูปแบบต่างๆ เช่น หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ อินเตอร์เน็ต
3. เผยแพร่ ความคิดเห็น สินค้า หรือบริการ (ideas, goods, or service) การโฆษณาไม่จำเป็นจะต้องเกี่ยวข้องกับสินค้าที่จับต้องได้ อาจเป็นการโฆษณาสิ่งซึ่งเป็นการบริการเช่น บริการของธนาคาร บริษัทประกันชีวิต เพื่อวัตถุประสงค์ในการจำหน่ายสินค้าและบริการแก่ผู้ที่คาดหวังว่าจะเป็นลูกค้า
4. ระบุผู้อุปถัมภ์ (the identified sponsor) การโฆษณาจำเป็นต้องระบุชื่อผู้อุปถัมภ์หรือผู้สนับสนุนไว้ด้วย เพราะหากไม่มีการระบุจะทำให้เกิดความสงสัย ขาดความเชื่อถือได้ การไม่ระบุอาจมีความเข้าใจผิดเรื่องการโฆษณาชวนเชื่อ อาจเป็นข้อมูลที่ถูกบิดเบือน หลอกหลวง ขาดความสุจริตในในการโฆษณาได้
4.1.2 ลักษณะของการโฆษณาและวัตถุประสงค์ของการโฆษณา
4.1.2.1 ลักษณะของการโฆษณา
โฆษณาเป็นกระบวนการทางด้านสื่อสารมวลชนประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นเพื่อจูงใจให้คนมีความต้องการซื้อสินค้าและบริการ หรือใช้บริการ โดยอาศัยความจริงหรือเหตุผลสมมุติจูงใจให้เกิดความชอบในตัวสินค้าและบริการ ดังนั้นลักษณะของการโฆษณาจึงมีลักษณะที่สำคัญดังนี้ ( เสรี วงษ์มณฑา , 2540 : 6-8)
1. การโฆษณาเป็นกิจกรรมสื่อสารมวลชน (mass media) วัตถุประสงค์ในการสร้างงานโฆษณาก็เพื่อเผยแพร่ข้อเสนอให้แก่ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายที่เป็นมวลชนที่สามารถเข้าถึงได้ทุกสถานที่ตามลักษณะของสื่อสารมวลชนเช่น โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์
2. การโฆษณาเป็นการสื่อสารเพื่อการจูงใจ (persuasion) การโฆษณามีวัตถุประสงค์เพื่อการจูงใจให้เกิดพฤติกรรมการซื้อ ดังนั้นการโฆษณาจึงจะกล่าวเฉพาะสิ่งที่ดีๆ เท่านั้นจึงจะสามารถจูงใจได้ ซึ่งบางครั้งการโฆษณาจะไม่กล่าวถึงความจริงที่ไม่สร้างสิ่งจูงใจ เพราะจะทำให้ไม่เกิดการจูงใจกับกลุ่มเป้าหมาย การจูงใจจึงไม่ใช่การให้ข่าวสาร แต่จะเป็นการกล่าวแต่สิ่งที่เป็นจริงและสร้างแรงจูงใจให้คนคล้อยตามเท่านั้น
3. การโฆษณาเป็นการจูงใจด้วยเหตุผลจริง (real reason) และเหตุผลสมมุติ (supposed reason) การจูงใจด้วยเหตุผลจริง หมายถึง การจูงใจโดยบอกคุณลักษณะ ที่เป็นประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ เช่น กระเบื้องตราช้างโฆษณาว่าหนากว่ากระเบื้องอื่น ส่วนการจูงใจด้วยเหตุผลสมมุติ หมายถึง การจูงใจโดยใช้หลักการตอบสนองความต้องการด้านจิตวิทยา เช่น นักกีฬาที่เป็นแชมป์รับประทานอาหารเสริมยีห้อ A มีความหมายโดยนัยว่า ใครอยากแข็งแรงเป็นแชม์ปได้ต้องลองรับประทาน
4.1.2.1 ความแตกต่างระหว่างประชาสัมพันธ์กับโฆษณา
1) การประชาสัมพันธ์อาศัยทั้งสื่อมวลชนและไม่ใช้สื่อมวลชน แต่การโฆษณาต้องอาศัยสื่อมวลชน
2) การประชาสัมพันธ์ใช้สื่อที่ต้องจ่ายเงินและไม่ต้องจ่ายเงิน ส่วนการโฆษณาต้องอาศัยสื่อที่จ่ายเงิน
3) การประชาสัมพันธ์มีกลุ่มเป้าหมายหลายกลุ่ม ไม่ใช่มีเพียงกลุ่มหลักและกลุ่มรองเหมือนการโฆษณา
4) การประชาสัมพันธ์มุ่งผลระยะยาว และมักเป็นผลทางด้านจิตใจ ส่วนการโฆษณามักหวังผลทางด้านธุรกิจ (ยอดขาย หรือผลการตลาด) ในช่วงระยะสั้น
4.1.3 บทบาทหน้าที่ของการโฆษณา
กัลป์ยกร วรกุลลัฎฐานีย์ และพรทิพย์ สัมปัตตะวนิช (2551 : 56-59) ได้อธิบายบทบาทและความสัมพันธ์ของโฆษณาในทางการตลาดทำให้เห็นถึงจุดเด่นของการโฆษณาที่แตกต่างไปจากเครื่องมืออื่นๆ คือความสามารถในการสร้างการตระหนักและรู้จักสินค้า รวมถึงการวางตำแหน่งตราสินค้าให้เข้าไปสู่ในใจของผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง และได้สรุปบทบาทของการโฆษณาในตลาดไว้ดังนี้
1. โฆษณากับความต้องการของลูกค้าและอรรถประโยชน์สินค้า (customer needs and product utility) บทบาทของการโฆษณาคือการสื่อสารถึงความสามารถของสินค้าในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งในความต้องการเชิงหน้าที่ และความต้องการเชิงจิตวิทยา อรรถประโยชน์ของสินค้า เช่นการกล่าวถึงสินค้าที่มีประสิทธิภาพมาก หรือสินค้าบางชนิดแสดงสถานภาพที่หรูหราของผู้ใช้สินค้า เป็นต้น ดังนั้นจุดเริ่มต้นของการโฆษณาอยู่ที่การทำวิจัยถึงความต้องการของผู้บริโภค
2. การแลกเปลี่ยน การรับรู้ และความพึงพอใจ (exchange, perception and satisfaction)
1) การแลกเปลี่ยน เป็นบทบาทของการโฆษณาคือการให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสินค้าไปยังผู้ซื้อเพื่อทำให้ผู้ซื้อเกิดความมั่นใจ การโฆษณาสามารถทำให้ในขณะที่ผู้ซื้อมีแนวโน้มในการซื้อสินค้าและตัดสินใจซื้อสินค้าเมื่อได้รับข่าวสารจากผู้ซื้อ
2) การรับรู้ บทบาทของการโฆษณาคือการให้ผู้บริโภครับรู้ข้อมูลสินค้า และรายละเอียดของสินค้าในทิศทางที่นักโฆษณาต้องการ การโฆษณาที่มีการสร้างสรรค์ที่ดีจะสามารถสร้าง ปรับหรือเปลี่ยนการรับรู้ของผู้บริโภคเป้าหมายเกี่ยวกับสินค้าได้ดี ทำให้เกิดความเชื่อในความสามารถของสินค้า ว่าจะสามารถตอบสนองความต้องการได้ด้วยอรรถประโยชน์ที่สินค้ามี
3) ความพึงพอใจ บทบาทของการโฆษณาคือการตอกย้ำความพึงพอใจ โดย การย้ำเตือนผู้บริโภคเป้าหมายถึงเหตุผลในการซื้อสินค้า การตอกย้ำการตัดสินใจที่ฉลาดและ ถูกต้องของผู้บริโภค เพราะความพึงพอใจในการซื้อและใช้สินค้านำมาซึ่งการใช้ในครั้งต่อไป
3. โฆษณากับการแบ่งส่วนตลาดและการสร้างความแตกต่างให้สินค้า การเสนอข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับสินค้าที่เป็นที่สนใจและสอดคล้องกับความต้องการของแต่ละตลาด และเผยแพร่ผ่านช่องทางการสื่อสารที่แตกต่างกันออกไป ทั้งนี้เพราะแต่ละส่วนตลาดจะมีความต้องการที่แตกต่างกัน
4. การโฆษณากับการทำผลกำไร การโฆษณาเป็นเครื่องมือหรือเป็นปัจจัยที่มีผลโดยตรงต่อการเกิดรายได้ของบริษัท โดยการโน้มน้าวและย้ำเตือนเกี่ยวกับคุณค่าของตราสินค้า อยู่เสมอๆ จนเกิดเป็นความภัคดีต่อตราสินค้าขึ้น
5. โฆษณากับการสร้างตราสินค้า โฆษณาบอกถึงคุณภาพตราสินค้าที่เกิดขึ้นจากคุณลักษณะสินค้าที่รับรู้ได้ และก่อให้เกิดการรับรู้ในบุคลิกภาพตราสินค้า ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความผูกพันระหว่างผู้บริโภคกับตราสินค้า
6. โฆษณากับการตลาดที่ไม่หวังผลกำไร โฆษณามีบทบาทไม่ใช่เฉพาะกับวงการธุรกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นบทบาทสำคัญกับองค์กรที่ไม่หวังผลกำไรอื่นๆ ด้วยที่สามารถใช้โฆษณาเป็นเครื่องมือเช่นเดียวกับองค์กรธุรกิจทั่วไป
4.1.4 ประเภทการโฆษณา
การแบ่งการโฆษณา ทำให้เข้าใจแนวทางปฏิบัติหรือกลยุทธ์ในการโฆษณาได้อย่างถูกต้อง การแบ่งการโฆษณา สามารถแบ่งได้หลายแบบตามแนวทางการนำเสอนของนักวิชาการหลายๆ ท่าน เช่น การแบ่งตามหน้าที่ แบ่งตามกลุ่มเป้าหมาย แบ่งตามสื่อโฆษณา แบ่งตามจุดมุ่งหมายและตามเขตภูมิศาสตร์ แต่ยังคงสาระที่ใกล้เคียงกัน ผู้เขียนจึงขอนำเสนอประเภทการโฆษณาตามแนวทางของ วิไลลักษณ์ ซ่อนกลิ่น และศิริชัยสุวรรณประภา (2551 : 70-76) ทั้งนี้เพราะมีความชัดเจน และเข้าใจงานสำหรับการเรียนในขั้นพื้นฐาน ดังรายละเอียดดังนี้
4.1.4.1 การโฆษณาแบ่งตามกลุ่มเป้าหมาย การโฆษณาประเภทนี้จะเน้นกลุ่มเป้าหมายทางการตลาดที่จะซื้อสินค้าหรือบริการของผู้โฆษณาที่เป็นองค์กรธุรกิจทั้งหลาย ทั้งนี้เพื่อสร้างความดึงดูดใจให้ลูกค้าเป้าหมายเกิดความสนใจที่จะดูและซื้อสินค้า โดยผ่านสื่อโฆษณาต่างๆ แบ่งได้เป็น 4 ประเภทได้แก่
1) การโฆษณามุ่งสู่ผู้บริโภค (consumer advertising) เป็นการโฆษณาผ่านสื่อมวลชนต่างๆ ในการนำข่าวสารไปสู่ผู้บริโภค ได้แก่ สื่อทางโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ อินเตอร์เน็ต และสื่อโฆษณาอื่นๆ การโฆษณาประเภทนี้ จะทำการโดยบริษัทที่ทำการผลิตสินค้า ตัวแทนทางการตลาด ไปสู่กลุ่มลูกค้าที่ซื้อและใช้สินค้าที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในตลาด ส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น สบู่ ยาสีพัน ยาสระผม ผงซักฟอก เป็นต้น
2) การโฆษณามุ่งอุตสาหกรรม (industrial advertising) การโฆษณาประเภทนี้ มีจุดประสงค์ให้กลุ่มลูกค้าได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารทางอุตสาหกรรมเพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการทางอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เพื่อการอุตสาหกรรม เช่น วัตถุดิบ เครื่องจักรกล บริการซ่อมแซมบำรุงรักษา ชิ้นส่วนประกอบเป็นต้น
3) การโฆษณามุ่งการค้า (trade advertising) การโฆษณาประเภทนี้จะถูกนำมาใช้ในเรื่องของการเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย และบริการของบริษัทที่ทำการโฆษณา ทั้งนี้เพื่อให้มีการเพิ่มการขายมากขึ้น โดยส่วนใหญ่นิยมนำบุคคลที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับสินค้าชนิดนั้นๆ มานำเสนอ เพื่อสร้าง ความน่าเชื่อถือและไว้วางใจ 4) การโฆษณามุ่งงานอาชีพ (professional advertising) เป็นการโฆษณาที่ผู้ผลิตหรือตัวแทนจำหน่ายโฆษณาให้แก่บุคคลผู้มีอาชีพต่างๆ ได้ซื้อสินค้าไว้ในการประกอบอาชีพการงาน รวมทั้งแนะนำให้ลูกค้าและผู้ที่เกี่ยวข้องได้ซื้อสินค้าไว้ใช้ เช่น อาชีพที่เกี่ยวข้องกับแพทย์ วิศวกร เกษตรกร บัญชี ทนายความ นักร้อง นักแสดง เป็นต้น
4.1.4.2 การโฆษณาแบ่งตามสื่อโฆษณา เป็นการนำสื่อโฆษณามาใช้เป็นตัวกลางในการติดต่อสื่อสาร จากผู้ผลิตสินค้าไปสู่กลุ่มผู้บริโภค หรือกลุ่มเป้าหมายทางการตลาด ซึ่งสามารถแบ่งได้ 9 ประเภทได้แก่
1) การโฆษณาทางโทรทัศน์
2) การโฆษณาทางหนังสือพิมพ์
3) การโฆษณาทางวิทยุ ได้แก่ คลื่นต่างๆ
4) การโฆษณาทางนิตยสาร
5) การโฆษณาทางยวดยานพาหนะ
6) การโฆษณาทางไปรษณีย์
7) การโฆษณากลางแจ้ง
8) การโฆษณาทางอินเตอร์เน็ต
9) การโฆษณาทางภาพยนตร์ก่อนฉาย
4.1.4.3 การโฆษณาที่แบ่งตามจุดมุ่งหมาย โดยจะมีการแบ่งตามลักษณะการนำไปใช้งาน หรือจุดมุ่งหมายทางการตลาด รวมทั้งการโฆษณาระหว่างบริษัทผู้ขายสินค้าหรือบริการไปยังกลุ่มเป้าหมาย แบ่งเป็น 5 ประเภทได้แก่
1) การโฆษณาผลิตภัณฑ์ เป็นการโฆษณาเพื่อต้องการที่จะทำการขายผลิตภัณฑ์หรือบริการอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยเน้นไปยังจุดดีของสินค้ารวมทั้งคุณภาพ คุณประโยชน์ผลิตภัณฑ์
2) การโฆษณาตรา / ยี่ห้อของสินค้า เป็นการโฆษราเพื่อต้องการที่จะสร้างชื่อหรือภาพลักษณ์ให้แก่ตรา / ยี่ห้อของสินค้าอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นการโฆษณาเครื่องดื่มน้ำอัดลมโทรศัพท์เคลื่อนที่ รถยนต์ เป็นต้น
3) การโฆษณาสถาบัน เป็นการโฆษณาที่ดำเนินงานโดยองค์กรใดองค์กรหนึ่ง เพื่อต้องการสร้างภาพลักษณ์ที่ดี สร้างความเชื่อถือศรัทธาของบริษัทให้เกิดขึ้นแก่กลุ่มต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ พนักงาน ลูกค้าเป้าหมาย ผู้ถือหุ้น บางครั้งเรียกว่า การประชาสัมพันธ์ ซึ่งเป็นการหวังผลระยะยาวมากกว่าระยะสั้น แบ่งออกเป็น การโฆษณาเพื่อการอุปถัมภ์หรือเพื่อดึงดูดให้เกิดการซื้อสินค้า การโฆษณาเพื่อบริการสังคม และการโฆษณาบริษัท
4) การโฆษณาเพื่อแก้ไขความผิดพลาด การโฆษณาประเภทนี้ เป็นการโฆษณาของบริษัทผู้ผลิต โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขความผิดพลาดหรือความเข้าใจผิดในบางสิ่งบางอย่างที่ได้ทำการโฆษณาไปแล้วก่อนหน้านั้น ทั้งนี้ก็เพื่อต้องการทำให้การโฆษณามีความถูกต้องและชัดเจนยิ่งขึ้น
5) การโฆษณาแยกประเภท เป็นการโฆษณาเกี่ยวกับเหตุการณ์ ประกาศรับสมัครงาน ขายลดรารา หรือบริการต่างๆ ตามหน้าของการโฆษณา โดยส่วนมากจะพบในสื่อโฆษณาทางหนังสือพิมพ์ต่างๆ เช่น ไทยรัฐ เดลินิวส์ ประชาชาธุรกิจ เป็นต้น
4.1.4.4 การโฆษณาแบ่งตามภูมิศาสตร์ การโฆษณาโดยแบ่งตามเขตภูมิศาสตร์ สามารถแบ่งได้ 3 ประเภทได้แก่
1) การโฆษณาระดับชาติ เป็นการโฆษณาที่จัดทำโดยผู้ผลิตสินค้า ที่มีสินค้าจำหน่ายอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ เพื่อโฆษณากระจายข่าวสารผ่านทางสื่อโฆษณาระดับชาติต่างๆ ได้แก่ สื่อวิทยุ สื่อโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม หนังสือพิมพ์และนิตยสารเพื่อให้ผู้บริโภคได้ทราบถึงตราของสินค้า เครื่องหมายการค้า คุณภาพของสินค้า เป็นหลักสำคัญ
2) การโฆษณาระหว่างประเทศ เป็นการโฆษณาที่จัดทำขึ้นมาเพื่อต้องการที่จะโฆษณาไปในตลาดทั่วโลก ที่มีลักษณะความต้องการซื้อสินค้าและบริการเหมือนกัน ชิ้นงานโฆษณาจะเป็นรูปแบบเดียวกันทุกตลาดทั่วโลก เช่นการโฆษณาผลิตภัณฑ์น้ำหอมที่มีการผลิตจากประเทศฝรั่งเศส โดยมีข้อความภาษาอังกฤษซึ่งถือว่าเป็นภาษาที่ทั่ว โลกยอมรับ
3) การโฆษณาระดับท้องถิ่น ในบางครั้งเรียกว่า การโฆษณาร้านค้าปลีก (local or retail advertising) เป็นการโฆษณาสำหรับร้านค้าปลีก หรือร้านค้าย่อยต่างๆ ในท้องถิ่นนั้นๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายได้แสวงหาซื้อสินค้าภายในช่วงเวลาที่กำหนดไว้ พร้อมทั้งแจ้งให้ทราบว่าสินค้าจะมีการลดราคาใดช่วงใดบ้าง และในช่วงเทศกาลต่างๆ เช่น ปีใหม่ วันวาเลนไทน์ ก็จะมีการจัดรายการพิเศษต่างๆ เพื่อให้ลูกค้าได้มีส่วนร่วมในกิจกรกรมนั้นด้วย
4.1.5 การติดตามและประเมินผลการโฆษณา
วิไลลักษณ์ ซ่อนกลิ่น และศิริชัยสุวรรณประภา (2551 : 234-236) อธิบายความสำคัญของการติดตามและประเมินผลการโฆษณาว่า เป็นการตรวจสอบเพื่อให้ได้คำตอบว่า การโฆษณาที่ได้ดำเนินการไปแล้วมีปัญหา มีข้อบกพร่องที่ควรปรับปรุงแก้ไขอย่างไร เป็นไปตามกำหนดเป้าหมายที่กำหนดหรือไม่ รวมทั้งติดตามว่ามีผู้รับสารเป็นไปตามที่คาดหวังหรือไม่ วิธีการติดตามและประเมินผลดังกล่าว เรียกว่า Monitoring Audience Research เพื่อให้การโฆษณานั้นได้ส่งผลไปสู่ความสำเร็จที่ดีในการขายสินค้าหรือบริการต่อไป
4.1.5.1 ความจำเป็นที่ต้องวัดประสิทธิผลของการโฆษณา
การวัดประสิทธิผลของการโฆษณาเป็นเหตุผลที่มีความจำเป็นต่อผู้บริหารงานโฆษณาและการตลาดของบริษัทต่างๆ การวัดผลประสิทธิผลจะต้องพิจารณาประเด็นสำคัญ 3 ประเด็นคือ
1) หลีกเลี่ยงความผิดพลาดด้านต้นทุน (Avoiding costly mistakes) เป็นการวัดประสิทธิผลของการโฆษณาว่าคุ้มค่าและบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้หรือไม่ รวมทั้งทราบว่าปัญหาที่เกิดขึ้น หรืออุปสรรคที่จะแก้ปัญหานั้นไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป
2) การประเมินทางเลือกจากกลยุทธ์ (Evaluating alternative strategies) การเลือกว่าใช้สื่อใดที่มีประสิทธิผล โดยการประเมินเปรียบเทียบระหว่างกลยุทธ์การส่งเสริมการตลาดหลายอย่างที่ต้องเลือก และตัดสินใจ
3) การเพิ่มประสิทธิภาพของการโฆษณา (increasing the efficiency of advertising in general) เป็นการให้ข่าวสารที่ผู้รับข่าวสารเข้าใจง่ายซึ่งข้อมูลข่าวสารไม่ยุ่งยากซับซ้อน เป็นการติดต่อสื่อสารที่เกิดประสิทธิผลและประสิทธิภาพ
4.1.5.2 วัตถุประสงค์ของการประเมินผลการโฆษณา
1) การประเมินประสิทธิภาพการโฆษณา (Efficiency evaluation) เป็นการค้นหาแนวทางหรือวิธีการที่ดีสำหรับการนำมาใช้ในการวัดประสิทธิภาพหรือประสิทธิผลของการโฆษณาอย่างต่อเนื่องเพื่อได้ผลลัพธ์ที่ดี และประสบสำเร็จทางการตลาดที่เป็นการเพิ่มยอดขายและกำไรตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ จะต้องพิจารณาประเด็นสำคัญ 3 ประการคือ 1) สื่อโฆษณานั้นสามารถเข้าถึงผู้รับสารเป้าหมายมีประสิทธิภาพเพียงใด 2) ผู้รับสารเป้าหมายได้รับสื่อโฆษณานั้นด้วยความถี่เท่าใดที่มีประสิทธิภาพ 3) การประเมินเปรียบเทียบระหว่างการเข้าถึงกลุ่มผู้รับสารกับการใช้เงินคุ้มค่าเพียงใด
2) การประเมินผลประสิทธิผลการโฆษณา (Effective evaluation) เป็นการประเมินผลในด้านการบรรลุผลสำเร็จ (achievement) หรือผลที่ได้จากการโฆษณาว่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้หรือไม่ ซึ่งขั้นตอนในการประเมินผลการโฆษณาสามารถทำได้ 3 ขั้นตอนคือ ก่อนการโฆษณา ระหว่างการโฆษณา และหลังการโฆษณา
4.1.5.3 วิธีการประเมินผลการโฆษณา
การประเมินผลการโฆษณาทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ที่ต้องการวัด มีวิธีการต่างๆ ดังนี้
1) การประเมินผลการโฆษณาด้วยคูปอง เหมาะสำหรับสื่อประเภทสิ่งพิมพ์ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร แผ่นพับ ใบลิว ฯลฯ โดยการพิมพ์คูปองไปกับสื่อเหล่านั้นให้ผู้สนใจกรอกข้อความ ส่งกลับมาทางผู้ที่ต้องการวัดผล
2) การประเมินผลจากยอดขาย เหมาะสำหรับการประเมินผลการโฆษณาโดยวิธีง่ายๆ เป็นการสังเกตหรือบันทึกสถิติยอดขายก่อนการโฆษณา และเปรียบเทียบจากยอดขายหลังจากที่ได้โฆษณาไปแล้วระยะหนึ่ง
3) การประเมินผลโดยการส่งชิ้นส่วนมาจับฉลากชิงรางวัล เป็นวิธีที่นิยมใช้กันบ่อยๆ ในการวัดผลโฆษณา และเป็นการส่งเสริมการขายหรือนำมาใช้สิทธิเป็นส่วนลดหรือแลกซื้อสินค้าชนิดอื่นๆ
4) การประเมินผลของการโฆษณาโดยใช้แบบสอบถาม เป็นวิธีการออบแบบสอบถามเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ ของการโฆษณาโดยนักวิจัยโฆษณาจะวัดผลสื่อโฆษณา โดยการเก็บข้อมูลด้วยวิธีต่างๆ เช่น พนักงานสัมภาษณ์ สอบถามทางไปรษณีย์ สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์
4.1.6 เทคนิคการโฆษณา
4.1.6.1 รูปแบบการนำเสนอ
รูปแบบการนำเสนอเป็นแนวทางการนำเสนอแนวคิดโฆษณาที่เรียกว่า การทำความคิดที่ยิ่งใหญ่ให้มีชีวิต (Bring a Big idea Alive) คือการสื่อสารแนวคิดโฆษณาผ่านเรื่องราวที่นำเสนอโดยรูปแบบเหมาะสมเพื่อให้สารโฆษณาน่าสนใจ และน่าจดจำ รูปแบบการนำเสนอมีหลายรูปแบบและสามารถพัฒนารูปแบบใหม่ๆ เพื่อสร้างความน่าสนใจได้ โฆษณาชิ้นหนึ่งอาจใช้วิธีนำเสนอหลายๆ รูปแบบได้ พอสรุปได้ดังนี้ ( กัลป์ยกร วรกุลลัฎฐานีย์ และพรทิพย์ สัมปัตตะวนิช , 2551 : 163-168)
1) การโฆษณาแบบตรงไปตรงมา (Straight Forward) เป็นการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับประโยชน์และหรือคุณสมบัติของสินค้า ซึ่งต้องอธิบายรายละเอียดสินค้าให้ชัดเจน มักจะนิยมใช้กับโฆษณาทางสือสิ่งพิมพ์ เนื่องจากให้ข้อมูลรายละเอียดได้มาก ประกอบกับภาพโฆษณาของสินค้า เช่น โฆษณาน้ำผลไม้ที่มีส่วนผสมทั้งผักและผลไม้ในกล่องเดียวกัน
สำหรับการโฆษณาทางโทรทัศน์มักใช้การโฆษณาคู่กับรูปแบบการโฆษณาโดยใช้ผู้นำเสนอ (Presentation) เพื่อสามารถอธิบายข้อมูลเกี่ยวกับสินค้านั้นๆ ได้ชัดเจน
2) การโฆษณาโดยการสาธิต (Demonstration) เป็นรูปแบบการโฆษณาที่มีประสิทธิภาพในการจูงใจมาก เนื่องจากจะสามารถแสดงหรือสาธิตประสิทธิภาพของสินค้าให้เห็นได้อย่างชัดเจน ทำให้ผู้บริโภคเชื่อมั่นในประสิทธิภาพของสินค้าได้ มักจะใช้กับสื่อโทรทัศน์ หรือการโฆษณารูปแบบนี้อาจเป็นการนำเสนอการพิสูจน์หรือการทดลองให้เห็นจริงในเชิงวิทยาศาสตร์ถึงประสิทธิภาพของสินค้าก็ได้ เช่น การใช้แชมพูก่อนและหลัง
3) การโฆษณาโดยการเปรียบเทียบ (Comparison) เป็นรูปแบบการนำเสนอโดยการเปรียบเทียบสินค้า 2 ยี่ห้อ เพื่อเปรียบเทียบคุณสมบัติอย่างชัดเจน รูปแบบประเภทนี้มักจะถูกใช้กับวสินค้าที่เป็นผู้ตามในตลาด ซึ่งมีผู้นำตลาดที่แข็งแกร่ง เช่น ผงซักฟอก
4) การโฆษณาโดยแสดงเสี้ยวหนึ่งของชีวิต (Slice of Life) นิยมใช้กับสินค้าอุปโภคของผู้ผลิตรายใหญ่เช่น ยาสีฟัน โดยนำเสนอส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งของชีวิตหรือส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ในชีวิตที่มีสินค้าร่วมอยู่ในเหตุการณ์ของชีวิตด้วย
5) การโฆษณาโดยการนำเสนอปัญหาและแนวทางแก้ไข (Problem Solution) จะเริ่มต้นการนำเสนอโดยการสร้างเหตุการณ์เพื่อระบุปัญหาที่เกิดหากไม่ได้ใช้สินค้าและใช้สินค้ามากแก้ไขปัญหาได้ภายหลัง เป็นการสร้างประสบการณ์ชีวิตผ่านทางโฆษณาแก่ผู้บริโภคว่าหากเกิดปัญหาขึ้นในชีวิตและสินค้านี้จะช่วยได้อย่างไร
6) การโฆษณาแบบแฟนตาซี (Fantasy) เป็นการแสดงให้เห็นถึงการจิตนาการที่จะนำเสนอประโยชน์ของสินค้าที่เหนือจริง ไม่มีทางเป็นไปได้ แต่นำเอาความเหนือจริงมาสร้างจุดสนใจ อาจใช้ตัวละครในนิทานหรือสร้างตัวละครในจินตนาการที่เกี่ยวจ้อง เช่น รังสียูวีกับฟิล์ม กันแดด เป็นต้น
7) การโฆษณาโดยใช้บุคคลรับรอง (Testimonial) เป็นรูปแบบการนำเสนอที่เน้นการจูงใจโดยใช้บุคคลที่เคยใช้สินค้ากล่าวถึงประโยชน์สินค้าที่ได้รับเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภค ประเด็นสำคัยของรูปแบบการนำเสนอนี้คือต้องทำให้ผู้บริโภคเชื่อว่าบุคคลในโฆษณาเป็นผู้มีประสบการณ์ในการใช้สินค้านั้นจริง เช่นดาราใช้สบู่ หรือใช้สินค้าแล้วสามารถลดน้ำหนักได้ เป็นต้น
8) โฆษณาโดยใช้ผู้นำเสนอ (Presenter) เป็นรูปแบบที่ใช้ผู้นำเสนอคือการหาโฆษก (Spokespersons) มาพูดแนะนำสินค้าแก่ผู้บริโภคซึ่งอาจเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในสินค้านั้นๆ มาแนะนำเช่น สถาปนิก นั กร้อง นักการเมืองเป็นต้น
4.1.6.2  องค์ประกอบของการสร้างสรรค์งานโฆษณา
ในการสร้างสรรค์งานโฆษณาทางสื่อสิ่งพิมพ์ นิตยสาร วิทยุ โทรทัศน์ อินเตอร์เน็ต หรือประเภทอื่นๆ จะมีองค์ประกอบที่ประกอบด้วยภาพ (Picture) ข้อความ (Words) และเสียง (Sound) เพื่อให้งานโฆษณามีความน่าสนใจและดึงดูดใจผู้บริโภค ( กัลป์ยกร วรกุลลัฎฐานีย์ และพรทิพย์ สัมปัตตะวนิช , 2551 : 169) ได้อธิบายองค์ประกอบของภาพ ข้อความและสีของภาพไว้ดังนี้
1) ภาพ การสร้างสรรค์ด้านภาพสำหรับการโฆษณามีความแตกต่างกันระหว่างการสร้างสรรค์ภาพทางสื่อสิ่งพิมพ์ และสื่อโทรทัศน์ โดยที่สื่อสิ่งพิมพ์ จะเป็นภาพที่ทำขึ้นจากคอมพิวเตอร์หรือภาพวาดด้วยมือก็ได้ ในขณะที่โทรทัศน์อาจเป็นภาพเคลื่อนไหวสมจริง (Life Action) หรือเป็นภาพอนิเมชั่น (Animation) ที่สร้างขึ้นจากคอมพิวเตอร์หรือวาดขึ้นได้เช่นกัน
2) ตัวอักษร การออกแบบลักษณะตัวอักษร ลักษณะตัวอักษรที่ต้องการก็สามารถแสดงถึงอารมณ์ที่ต่างกันได้เช่น ตื่นเต้น เป็นต้น การออกแบบลักษณะตัวอักษรนั้นต้องให้สอดคล้องกับองค์ประกอบของภาพโฆษณารวมทั้งต้องผสมผสานกับบุคลิกของตราสินค้าด้วยเช่น รถกระบะนิสสัน 4WD ตัวอักษรที่ใช้เข็มแข็ง ท้าทาย เป็นต้น
3) สีของภาพ สีเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการสร้างสรรค์ ควรจะแสดงเอกลักษณ์ของตราสินค้านั้นๆ เช่น โฆษณาโค้ก จะมีโทนสีของภาพเป็นสีแดง ในขณะที่เป๊ปซี่จะมีโทนสีของภาพเป็นสีฟ้าเป็นต้น
พท 335 นิเทศศาสตร์กับการท่องเที่ยว
4.2-โฆษณากับกระบวนการสื่อสาร
http://coursewares.mju.ac.th:81/TD335/td335/chapter4/chapter4_2_clip_image001.gifการโฆษณาเป็นการสื่อสารประเภทหนึ่ง ซึ่งสามารถอธิบายการโฆษณาด้วยกระบวนการสื่อสารเพื่อให้เกิดความเข้าใจและเห็นความสัมพันธ์กับการสื่อสารอันจะเป็นประโยชน์ในการประยุกต์ใช้ในการท่องเที่ยวได้ กัลป์ยกร วรกุลลัฎฐานีย์ และพรทิพย์ สัมปัตตะวนิช (2551 : 7-12) ได้อธิบายการโฆษณากับการสื่อสารว่า การโฆษณาเป็นการสื่อสารมวลชน หมายถึงเป็นการสื่อสารที่มีผู้ส่งสาร (sender) หลายคนต้องการส่งข้อมูลหรือสาร (message) ผ่านสื่อ (media) ที่มีความสามรถในการกระจายข่าวสารให้กับมวลชนซึ่งเป็นผู้บริโภคหรือผู้รับสาร (receiver) กลุ่มใหญ่ โดยที่ผู้รับสารสามารถมีการตอบสนองกลับมาสู่ผู้ส่งสารได้
1. ผู้ส่งสาร (sender) ในกระบวนการสื่อสารโฆษณา หมายถึง สินค้าตรายี่ห้อต่างๆ และในปัจจุบันมีการใช้สื่อต่างๆ ในการโฆษณามากมายโดยทำหน้าที่สื่อสารคุณสมบัติและประโยชน์ของตราสินค้าไปสู่ผู้บริโภค ทำให้ต้องมีการวางแผนการโฆษณาอย่างรอบคอบเพื่อให้การโฆษณาที่สื่อสารออกไปมีประสิทธิภาพสูงสุด
2. สาร (message) ในการโฆษณา สารนับว่าเป็นองค์ประกอบที่มีมีความสำคัญมากที่สุดองค์ประกอบหนึ่งเพราะต้องมีความโดดเด่นกว่าสินค้าอื่นจึงจะทำให้เกิดความสนใจ โดยมีหลักเกณฑ์คือ ต้องมีความน่าสนใจและความประทับใจ ต้องเข้าใจง่าย ต้องโน้มน้าวใจเพื่อให้เกิดความต้องการสินค้า ต้องสร้างความจดจำ
3. ช่องทางการสื่อสาร (channel) สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่คือ สื่อดั่งเดิม และสื่อใหม่ โดยที่สื่อดังเดิมหมายถึง สื่อโทรทัศน์ สื่อวิทยุ สื่อหนังสือพิมพ์ สื่อนิตยสาร สื่อกลางแจ้ง ลื่อเคลื่อนที่ ที่สามารถสื่อสารกับคนกลุ่มใหญ่ได้ หรือเรียกว่า สื่อมวลชน ส่วนสื่อใหม่หมายถึงสื่อที่ถูกพัฒนาขึ้นมาใหม่ เช่น อินเตอร์เน็ต เป็นต้น
4. ผู้รับสาร (receiver) เป็นองค์ประกอบที่มีความสำคัญที่สุดในกระบวนการโฆษณา เนื่องจากเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนา ผู้ทำโฆษณาต้องศึกษาความต้องการของผู้บริโภค แล้วเสนอประโยชน์ของสินค้าให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค รวมทั้งหาช่องทางการสื่อสารที่เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างสอดคล้องกับวิถีการดำเนินชีวิตของผู้บริโภค ซึ่งอาจจะหามาจากการศึกษาวิจัยจากผู้บริโภค
5. การตอบสนองของผู้บริโภค (feedback) เมื่อผู้บริโภคเห็นโฆษณา สามารถทำได้หลายรูปแบบเช่น การโทรศัพท์ การใช้จดหมายอิเลคทรอนิกส์ โดยสื่อสมัยใหม่จะใช้เว็บไซต์เพื่อให้ผู้บริโภคได้เข้าไปดูข้อมูลสินค้า บอกความต้องการและสั่งซื้อสินค้าทำให้เกิดความสัมพันธ์เชิงลึกมากขึ้น
4.3-สื่อโฆษณา
4.3.1 สื่อโฆษณาประเภทต่างๆ
สื่อโฆษณา (advertising media) เป็นเครื่องมือในการนำพาข่าวสารจากผู้ขายสินค้าไปสู่กลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ปรัชญาของการซื้อสื่อโฆษณาคือ “ การเข้าถึงที่ได้มากที่สุดตามความเหมาะสม ความถี่สูงสุดที่เหมาะสม และการสูญเปล่าน้อยที่สุด ในงบประมาณที่จำกัด ” ( เสรี วงษ์มณฑา , 2540 : 205) ดังนั้นสื่อโฆษณาจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ต่อการเลือกใช้สื่อที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย กัลป์ยกร วรกุลลัฎฐานีย์ และพรทิพย์ สัมปัตตะวนิช (2551 : 178-197) ได้แบ่งสื่อโฆษณาออกเป็น 4 ประเภทคือ
1. สื่ออิเลคทรอนิกส์ ได้แก่ สื่อโทรทัศน์ สื่อวิทยุ เป็นสื่อที่นิยมมากที่สุด และสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นสื่อที่มีทั้งภาพและเสียง อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคอาจมีกิจกรรมอื่นๆ ทำควบคู่ไปกับการดูโทรทัศน์ หรือฟังวิทยุ ทำให้ความสนใจในข่าวสารที่สื่อสารจากสื่อดังกล่าวมีไม่มาก
2. สื่อสิ่งพิมพ์ ได้แก่ สื่อหนังสือพิมพ์ นิตยสาร อาจหมายความถึงสื่อทุกชนิดที่ใช้การพิมพ์ ภาพ ข้อความลงไป เช่น เสื้อยึด หมวก เป็นต้น สื่อสิ่งพิมพ์มีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากเป็นสื่อที่ให้รายละเอียดของสินค้าได้ดี และผู้อ่านต้องใช้ความพยายามในการเปิดรับสื่อคือการอ่าน ทำให้เกิดการจดจำได้ดีกว่าสื่ออื่นๆ
3. สื่อปฏิสัมพันธ์ ได้แก่ สื่ออินเตอร์เน็ต เป็นสื่อที่กลุ่มเป้าหมายสามารถมีการโต้ตอบกลับได้ทันที่ที่เปิดรับข่าวสารทางสื่อ การติดต่อสามารถติดต่อได้อย่างรวดเร็ว และสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ฝ่ายได้เป็นอย่างดี
4. สื่อสนับสนุน ได้แก่ โรงภาพยนตร์ สื่อนอกบ้าน สื่อ ณ จุดขาย สื่อสนับสนุนนี้ใช้เพื่อสื่อสารเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่เฉพาะที่สื่ออื่นๆ ไม่สามารถเข้าถึงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ยังมีสื่อใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นมากมายที่แวดล้อมตัวเรา เรียกว่า สื่อแวดล้อม เช่น เอทีเอ็ม โทรศัพท์มือถือ สื่อในห้องน้ำสาธารณะ เป็นต้น การโฆษณาในปัจจุบันจะต้อง ผสมผสานในการใช้สื่อต่างๆ เพื่อทำให้เชื่อมโยงการสื่อสารระหว่างผู้โฆษณา หรือเจ้าของสินค้ากับผู้บริโภค เป็นการสื่อสารสองทางเพื่อแจ้งข่าวสารและโน้มน้าวใจผู้บริโภคโดยได้รับปฏิกิริยาโต้ตอบจากผู้บริโภคด้วย
สื่อ จุดแข็ง จุดอ่อน
สื่อโทรทัศน์ เช่น โทรทัศน์ช่องต่างๆ ได้แก่ ช่อง 3,5,7,9,11 เป็นต้น •  สร้างผลกระทบที่ดี
•  ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายได้ทั่วถึง
•  มีความยึดหยุ่นสูง
•  ราคาสูง
•  ความยาวของภาพยนตร์โฆษณา
•  การอัดแน่นของโฆษณาทางโทรทัศน์
•  ข้อจำกัดด้านความสนใจ
สื่อวิทยุ มีให้เลือกทั้งระบบ เอ.เอ็ม และเอฟ.เอ็ม เป็นสื่อที่สามารถนำไปในที่ต่างๆ ได้ พกพาได้สะดวก •  ราคาไม่แพง
•  เลื อกกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิท ธิภาพ
•  สื่อแห่งจินตนาการ
•  ข้อจำกัดด้านงานสร้างสรรค์
•  กลุ่มผู้ฟังที่แบ่งกระจายเป็นกลุ่มเล็กๆ หลายกลุ่ม
•  ข้อจำกัดด้านข้อมูลวิจัยสื่อ
•  ข้อจำกัดด้านความสนใจ
•  การอัดแน่นของโฆษณาวิทยุ
สื่อหนังสือพิมพ์ เป็นสื่อหลักที่สำคัญหนึ่งในการโฆษณา เนืองจากเป็นสื่อที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี •  มีความยึดหยุ่นสูง
•  ลักษณะของสื่อที่ให้ข่าวสารทันเหตุการณ์
•  ใช้เวลาสั้นการผลิตโฆษณา
•  ครอบคลุมผู้อ่านจำนวนมาก
•  คุณภาพในการผลิตต่ำ
•  อายุสื่อสั้น
•  การอัดแน่นของโฆษณาทางสื่อหนังสือพิมพ์
 
สื่อนิตยสาร มีจำนวนมากมายในปัจจุบันทั้งที่เป็นนิตยสารในประเทศ ต่างประเทศ รวมถึงนิตยสารที่แจกฟรี •  เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่ม
•  คุณภาพของการผลิต
•  ความยึดหยุ่นด้านการสร้างสรรค์
•  ความน่าเชื่อถือ
•  การเข้าถึงที่จำกัด
•  ใช้เวลานานสำหรับกระบวนการผลิต
•  การอัดแน่นของโฆษณาทางสื่อนิตยสาร
สื่ออินเตอร์เน็ต เป็นมากยิ่งกว่าสื่อโฆษณา เพราะสามารถใช้เป็นช่องทางการ ติดต่อเพื่อสร้างความสัมพันธ์ได้อีกด้วย •  ผู้รับสารจำนวนมาก
•  ข้อมูลครบถ้วนและสามารถโต้ตอบได้ทันที
•  โอกาสด้านการขาย
•  ราคา ไม่แพง
•  ปัญหาด้านการประเมินประสิทธิผล
•  การอัดแน่นของข่าวสาร
•  ความน่าเชื่อถือของข้อมูล
•  รบกวนความเป็นส่วนตัว
•  การเข้าถึงต่ำ
สื่อกลางแจ้ง นับเป็นสื่อโฆษณาสื่อแรกที่เกิดและได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน •  ความถี่ในการเปิดรับสูง
•  มีเทคนิคสร้างสรรค์มาก
•  มีข้อจำกัดในการการเข้าถึง
•  ราคาค่อนข้างสูง
•  มีรายละเอียดไม่มากนัก
•  ต้องมีการบำรุงรักษาเป็นอย่างดี
สื่อเคลื่อนที่ สามารถโฆษณาได้ทั้งภายใน และภายนอกพาหนะ เช่นเครื่องบิน •  ราคาไม่สูง
•  เลือกพื้นที่ในการเผยแพร่ได้
•  มีข้อจำกัดในการการเข้าถึง
•  มีรายละเอียดไม่มากนัก
•  ต้องมีการบำรุงรักษาเป็นอย่างดี
สื่อ ณ จุดขาย จะพบสื่อประเภทนี้ตามร้านค้าทั่วไป •  ช่วยในการตัดสินใจซื้อ ณ ร้านค้าได้
•  ตอกย้ำตราสินค้า
•  แย้งพื้นที่ในการติดตั้ง
•  อาจต้องจ่ายค่าเช่าหน้าร้าน ณ จุดขาย
สื่อโรงภาพยนตร์ เป็นสื่อก่อนที่จะมีการฉ ายภาพยนตร์ •  สร้างผลกระทบสูงเนื่องจากผู้ชมมีสมาธิทำให้จดจำได้ดี •  ไม่สามารถเจาะจงที่จะเผยแพร่โฆษณากับเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้
•  ไม่สามารถเลือกกลุ่มลูกค้าได้
•  พฤติกรรมผู้ชมอาจเข้าชมช้าไม่ตรงเวลา
4.3.2 เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารกับการโฆษณา
เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายในรอบสิบปีที่ผ่านมาในทุกภาคส่วน การโฆษณาเป็นส่วนหนึ่งที่ได้นำเอาเทคโนโลยีมาใช้ในทุกองค์ประกอบของการสื่อสาร ได้แก่ ผู้ส่ง ผู้รับ สาร ช่องทาง การตอบกลับ นอกจากนี้ยัง
4.3.2.1 e-marketing
การตลาดอิเล็กทรอนิกส์ หมายถึงการนำเอาเทคโนโลยีการสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Communication Technology) เข้ามาช่วยในการทำการตลาดเทคโนโลยีการสื่อสาร อิเล็กทรอนิกส์นี้ประกอบด้วย อินเตอร์เน็ต (Internet) จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (e-Mail) หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Books) ฐานข้อมูล (Database) และโทรศัพท์มือถือ (Mobile Phone) วัตถุประสงค์ในการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้นั้น เพื่อเป็นการช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจและลูกค้า เนื่องจากระบบอิเล็กทรอนิกส์สามารถสนับสนุนการร้องขอข้อมูลของลูกค้า การจัดเก็บประวัติ และพฤติกรรมของลูกค้าเอาไว้ ตลอดจนการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้ ซึ่งสามารถที่จะอำนวยประโยชน์ในการประกอบธุรกิจได้อย่างครบวงจร การตลาดอิเล็กทรอนิกส์นั้น เน้นไปที่การให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นหลัก (Customer Focus) การใช้เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตมาช่วยสนับสนุนการทำตลาดและก่อให้เกิดผลสำเร็จ ( สุพล พรหมมาพันธุ์ 2553: 1) ได้ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้ คือ
•  การจำแนกแยกแยะ (Identifying) หมายถึง การนำเอาอินเตอร์เน็ตมาช่วยในการวิจัยการตลาด และทำให้สามารถจำแนกแยกแยะได้ว่า ลูกค้าเป็นใคร ต้องการอะไร อยู่ที่ไหน มีพฤติกรรมเลือกซื้อสินค้าอย่างไร
•  การทำนายคาดหวัง (Anticipating) คือ อินเตอร์เน็ตนั้น ช่วยเพิ่มช่องทางให้ลูกค้าสามารถเข้าถึง สารสนเทศ และการจัดซื้อสินค้าได้สะดวก พฤติกรรมของลูกค้าที่เข้าถึงข้อมูลของบริษัทจะถูกบันทึกไว้ ในลักษณะของการทำตลาดอิเล็กทรอนิกส์ ตัวอย่างเช่น สายการบินราคาต่ำ (Low-Cost Airline) ชื่อ easyJet ซึ่งได้ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ออนไลน์เข้ามาสนับสนุน เนื่องจากลูกค้ามีความต้องการใช้ระบบออนไลน์สูงถึง 90% และมีความเข้าใจในตัวสินค้าได้เป็นอย่างดี ลูกค้าส่วนใหญ่ที่เข้ามาในเว็บไซต์ มีทั้งเข้ามาดูเที่ยวบิน และจองตั๋ว (Flights), การจองห้องพักในโรงแรม (Hotels), การเช่ารถ (Car Rentals), และการจอง ที่จอดรถในสนามบิน (Airport Parking) และคาดหวังว่าจะมีแนวโน้มเข้าใช้บริการเพิ่มสูงขึ้นตามลำดับ
•  สนองความพอใจ (Satisfying) ปัจจัยของความสำเร็จในการทำตลาดอิเล็กทรอนิกส์คือ การสนอง ความพอใจให้กับลูกค้า เนื่องจากช่องทางการใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงเว็บไซต์ต่างๆ ได้โดยง่าย , ทำงานได้อย่างเหมาะสม และอำนวยความสะดวกได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนั้น นายสมิธ และเจฟฟี่ ยังได้กล่าวถึง องค์กรหรือบริษัท สามารถนำเอาอินเตอร์เน็ต และใช้จดหมายข่าวอิเล็กทรอนิกส์ (e-Newsletter) มาเป็นกลยุทธ์ทำการตลาด ที่เรียกกันว่าหลัก 5 Ss มีดังต่อไปนี้ คือ
 
•  การขาย (Sell) อินเตอร์เน็ตช่วยทำให้มียอดขายสินค้าเพิ่มขึ้น และการขายส่วนหนึ่ง มาจากการส่งจดหมายข่าวประชาสัมพันธ์ไปยังลูกค้า นอกจากนั้น อินเตอร์เน็ตยังเป็นเครื่องมือในการ เก็บข้อมูลประวัติของลูกค้าเอาไว้ด้วย
•  การบริการ (Serve) อินเตอร์เน็ตช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้า โดยบริการอำนวยความสะดวก ในด้านผลประโยชน์ต่างๆ ให้กับลูกค้าทางระบบคอมพิวเตอร์ออนไลน์ เช่น ข้อเสนอในการให้ข่าวสารเฉพาะในเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นความเคลื่อนไหวด้านการตลาด และธุรกิจ หรืออาจเป็นสารสนเทศเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ในเชิงลึก
3. การพูด (Speak) เพื่อให้เกิดความใกล้ชิดกับลูกค้ามากขึ้น ในอินเตอร์เน็ตมีข้อเสนอให้สร้างแบบการสนทนาโต้ตอบกันได้ (Dialogue) ให้ลูกค้าสามารถร้องขอคำถามเข้ามาได้ ตลอดจนสามารถ สารวจ วิจัยความคิดเห็นของลูกค้า และยังสามารถเรียนรู้ติดตามความต้องการของลูกค้าว่าลูกค้ามีความสนใจสินค้า ในเรื่องใดเป็นพิเศษ
4. ประหยัด (Save) อินเตอร์เน็ตช่วยในเรื่องของการประหยัดงบประมาณในการพิมพ์กระดาษ โดยสามารถใช้วิธีการส่งจดหมายข่าวไปยังลูกค้าผ่านทางอีเมล์ เป็นการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าได้โดยตรง และยังเป็น การขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นอีกด้วย
5. การป่าวประกาศเสียงดัง (Sizzle) หมายถึง การป่าวประกาศตราสัญลักษณ์ (Brand) ของสินค้าบนระบบคอมพิวเตอร์ออนไลน์ การส่งโฆษณาไปทางจดหมายข่าวจะช่วยเสริมเพิ่มมูลค่าให้กับตรา สัญลักษณ์สินค้าเป็นที่รู้จักของลูกค้ามากขึ้น การสร้างมูลค่าเพิ่มนั้นได้แก่ การส่งจดหมายข่าวแจ้งไปยังลูกค้า หรือมีกิจกรรมสร้างความบันเทิงให้กับลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าได้คุ้นเคยกับตราสัญลักษณ์ ซึ่งในที่สุดจะกลายเป็น ลูกค้าประจำขึ้นมาเอง ส่วนตราสัญลักษณ์ที่ติดตลาด เช่น Microsoft, IBM, HP, Nokia, Motorola เป็นต้น
4.3.2.2 e-commerce
ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ (2551) e-commerce หรือเรียกกันทั่วไปว่า พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือการทำธุรกรรมหรือธุรกิจ ที่ผ่านช่องอิเล็กทรอนิกส์ ในทุกๆ ช่องทาง เช่น อินเทอร์เน็ต , โทรศัพท์ , วิทยุ , โทรทัศน์ , แฟกซ์ เป็นต้น ทั้งในรูปแบบ ข้อความ เสียง และภาพ รวมถึงการขายสินค้าและบริการด้วยสื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือการขนส่งผลิตภัณฑ์ที่เป็นเนื้อหาข้อมูลแบบดิจิตอล ถือว่าเป็น e-Commerce ทั้งนั้น ดังนั้นการซื้อขายในรูปแบบ e-Commerce เกิดขึ้นมานานแล้ว แต่คำว่า e-Commerce เพิ่งมาเป็นที่รู้จักและยอมรับกัน หลังจากมีการค้าขายผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ตมากขึ้น
e-Commerce ในปัจจุบันเป็นการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต กับการจำหน่ายสินค้าและบริการโดยสามารถนำเสนอข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตัวสินค้าหรือบริการผ่านทาง อินเทอร์เน็ต สู่คนทั่วโลกภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว ทำให้การดำเนินการซื้อขายอย่างมีประสิทธิภาพ และก่อให้เกิดรายได้ในระยะเวลาอันสั้น
ในการทำ e-commerce นั้นไม่ใช่เพียงแค่เป็นเว็บเพจหรือช่องทางการจำหน่ายสินค้าแต่ e-commerce ยังมีความหมายรวมไปถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการทางธุรกิจ เพื่อลดค่าใช้จ่าย ลดเวลา และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจรวมไปถึงการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของกับผู้บริโภคและผู้ค้าส่ง e-commerce แบ่งออกเป็น 4 ประเภทได้แก่ ( วิไลลักษณ์ ซ่อนกลิ่น และศิริชัยสุวรรณประภา , 2551 : 270)
1. การทำการค้าระหว่าง Customer ( ผู้บริโภคหรือผู้ซื้อ) กับ Business (ผู้ทำการค้า) เช่นลูกค้าต้องการซื้อหนังสือกับร้านค้า
2. การทำการค้าระหว่าง Business (ผู้ทำการค้า) กับ Business (ผู้ทำการค้า) เช่น ร้านขายหนังสือต้องการสั่งซื้อหนังสือจากโรงพิมพ์
3. การทำการค้าระหว่าง Business (ผู้ทำการค้า) กับ Customer ( ผู้บริโภคหรือผู้ซื้อ) เช่น โรงพิมพ์ต้องการซื้อต้นฉบับจากผู้เขียน
4. การทำการค้าระหว่าง Customer ( ผู้บริโภคหรือผู้ซื้อ) กับ Customer ( ผู้บริโภคหรือผู้ซื้อ) เช่น ผู้บริโภคต้องการขายรถยนต์ของตนเองให้กับผู้บริโภคที่สนใจ
4.4-การประยุกต์ใช้ในการท่องเที่ยว
สรุปสื่อโฆษณาในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้ 9 ประเภทได้ดังนี้
1. แผ่นป้ายโฆษณา ธุรกิจท่องเที่ยวใช้แผ่นป้ายโฆษณาอย่างกว้างขวาง ตั้งแต่ขนาดใหญ่ติดบนกำแพงหรือมีขาตั้งข้างถนน จนกระทั่งถึงเล็กขนาดติดกระจกหน้าต่างสำนักงานหรือกระจกรถยนต์ด้านหลัง เช่น
 2. สิ่งพิมพ์ หมายถึง เอกสารที่มีสาระสำหรับผู้รับ อาจพิมพ์ในรูปของแผ่นพับ ใบปลิว เช่น โปรแกรมนำเที่ยว ราคาการเดินทางในการท่องเที่ยว เป็นต้น
3. หนังสือพิมพ์ เป็นสื่อที่แพร่หลายกว้างขวางที่สุดในกระบวนการสิ่งพิมพ์ทั้งหลาย จึงมีผู้ที่อ่านข่าวสารจำนวนมากที่สุดและการโฆษณาก็มีมากเช่นกัน ปัจจุบันระบบการพิมพ์ การถ่ายภาพ ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ช่วยให้มองดูแล้วน่าอ่านมากขึ้น เช่น ตารางการบินที่เปลี่ยนแปลงใหม่ กำหนดเวลามหกรรมต่างๆ อัตราค่าที่พักโรงแรม
4. วารสาร เหมาะสำหรับการโฆษณาผลิตผลของการท่องเที่ยวเพราะส่วนใหญ่ใช้กระดาษขัดมัน กระดาษอาร์ตและอาจตีพิมพ์ด้วยหมึกสี วารสารบางฉบับจัดทำสำหรับอ่านกันทั้งครอบครัว บางฉบับอ่านเฉพาะสตรี
5. นิตยสาร มักจะเป็นสิ่งพิมพ์เพื่อวงการใดวางการหนึ่งโดยเฉพาะเช่น วงการกีฬา งานอดิเรก วิทยาศาสตร์ รถยนต์ ท่องเที่ยว การโฆษณาจึงเน้นไปที่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง 
6. ภาพยนตร์ โทรทัศน์ เป็นสื่อมวลชนที่ตื่นเต้น ที่สามารถนำนักท่องเที่ยวไปยังสถานที่ท่องเที่ยวได้อย่างไร้ขีดจำกัดซึ่งอาจใช้เทคนิคภาพนิ่ง ภาพใกล้ ภาพในแง่มุมต่างๆ แต่การโฆษณาด้วยภาพยนตร์เป็นเทคนิคที่ยากมากในการถ่ายทำและเป็นวิธีที่แพงมาก ขณะเดียวกันภาพยนตร์ก็มีอิทธิพลต่อการท่องเที่ยวและการซื้อสินค้ามาก เช่น ภาพยนตร์ หรือสารคดีท่องเที่ยว True vision National geographic เป็นต้น
7. วิทยุ งบประมาณทางวิทยุถูกที่สุด แต่ขาดความน่าตื่นเต้นเร้าใจ ภาพพยนต์ เหมาะสำหรับสารที่ฟังได้ง่ายๆ ควรใช้สื่อสิ่งพิมพ์เสริมเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เห็นและได้ยินในเรื่องเดียวกัน
8. อินเตอร์เน็ต เป็นสื่อที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยการสร้างเว็บไซต์เพื่อแสดงสินค้าและบริการท่องเที่ยว รวมถึงการซื้อ - ขายโปรแกรมท่องเที่ยว เช่น ธุรกิจโรงแรมที่พัก ธุรกิจท่องเที่ยวของภาคธุรกิจต่างๆ การนำเสนอโปรแกรมท่องเที่ยวเพื่อให้บริการข้อมูลของภาครัฐบาลหรือแหล่งท่องเที่ยวต่างเป็นต้น
 อ้างอิง 
http://coursewares.mju.ac.th:81/TD335/td335/chapter4/chapter4_4.htm